วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เที่ยวชุมพร ดำน้ำเกาะเต่า

วิว ริมทะเล

วิว ณ ที่ตั้ง พระโพธิสัตว์กวนอิม

เกริ่น/นำเรื่อง         

          และแล้วก็กลับมาอีกครั้งหลังจากหายไปสักพักใหญ่ เนื่องจากงานเข้าค่อนข้างบ่อย และ พยายามเค้นความทรงจำเรื่องที่จะเขียนออกมา...นึกไปนึกมาว่าจะเขียนอะไรดี...พอดีดันไปเจอรูปที่ถ่ายเอาไว้ตอนที่ไปดำน้ำดูปะการังที่เกาะเต่าใกล้ๆ จังหวัดชุมพร ก็เลยตัดสินใจเอาเรื่องนี้มาเขียนเป็นที่ระลึกสำหรับความทรงจำแห่งวันวาน


เข้าเรื่อง

          ย้อนอดีตไปเมื่อประมาณ ปี 2555 รุ่นพี่อยากเที่ยวทะเลดำน้ำดูปะการัง จึงวางแผนแบบไม่วางแผน (เอ๊ะ!? ยังไง??) เพื่อไปเที่ยวทะเลดำน้ำกัน และ เป้าหมายที่จะไปในครั้งนี้คือ “เกาะเต่า” ซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากชุมพรนั่นเอง...

จากที่ดูวันที่ในภาพถ่าย ช่วงวันเวลาแห่งการ ลัลลา รับลมร้อน ดูปะการัง คือช่วงวันที่ 4-7 พ.ค. 2555...เมื่อมีเป้าหมายของการเดินทาง นั่นก็แปลว่า ต้องมีจุดเริ่มต้น และ จุดๆนั้นคือ...”สถานีรถไฟหัวลำโพง”...ถูกต้องแล้ว การเดินทางในครั้งนี้ ได้เลือกเดินทางด้วย รถไฟ เพื่อที่จะดื่มด่ำไปกับวิวและทิวทัศน์ พร้อมๆไปกับการเดินทาง

          ณ วันเดินทาง...

          ตื่นแต่เช้ามุ่งหน้าสู่สถานีรถไฟหัวลำโพง พอถึงที่นัดหมายก็พบปะกับรุ่นพี่ ไปรับตั๋วรถไฟก่อน แล้วค่อยมานั่งกินโจ๊กอุ่นๆยามเช้าอย่างสบายใจเฉิบอารมณ์ดีแต่เช้าพร้อมเดินทางกันเต็มที่ พอใกล้ได้เวลารถไฟออก ก็เดินไปมองหารถไฟที่ต้องขึ้นกัน โดยรถไฟที่ผู้เขียนได้ขึ้นเพื่อเดินทางไปชุมพรนั้น เป็นรถไฟปรับอากาศ (แอร์เย็นฉ่ำ) หลังจากได้ที่นั่งตามที่ตั๋วระบุไว้ ก็เก็บข้าวของสัมภาระ แล้วก็นั่งเตรียมตัวให้พร้อม รอเวลารถไฟออกเดินทาง





          หลังจากนั่งไปสักระยะ รถไฟก็มีการหยุดรับผู้โดยสารตามสถานีต่างๆตามปกติ ก็ได้เพลิดเพลินไปกับการชมวิวของแต่ละสถานที่ต่างๆไปเรื่อยๆ...จนใกล้เวลาเที่ยง ก็ได้อาหารมารับประทานกัน เป็นอาหารฟรี ซึ่งรวมอยู่ในราคาของตั๋วรถไฟไปแล้ว (ถ้าจำไม่ผิด) อาหารที่ได้มาก็รสชาติใช้ได้ กินหมดอิ่มอร่อยสบายไปอีกมื้อ แต่การนั่งรถไฟแอร์ แถมยังได้ที่นั่งใกล้ๆห้องน้ำ ก็จะลำบากหน่อย ตรงที่กลิ่นอันหอมหวนรัญจวนใจจากห้องน้ำก็จะส่งกลิ่นออกมาได้อย่างเต็มที่ในสภาพรถไฟแอร์เย็นฉ่ำ หน้าต่างปิดหมด กลิ่นจะหายไปได้ก็ต่อเมื่อผู้โดยสารทั้งหลายพร้อมใจช่วยกันสูดหายใจเอาอากาศเหล่านี้เข้าไปนั่นเอง(เอ๊ะยังไง!? >w<a!!! )      

         

            หลังจากนั่งดมกลิ่นนี้ไปได้สักพัก ในที่สุด ก็มาถึงสถานีเป้าหมายของเรา ชุมพร จากนั้นก็เดินมาที่เคาเตอร์เพื่อที่จะซื้อตั๋วขากลับ (วางแผนแบบดีเยี่ยม!!) เพราะตอนแรกซื้อแต่ตั๋วขามา นึกว่าคนเที่ยวน้อย คงจะมีที่ว่างเยอะ เลยจะลองพลีชีพวัดดวงมาหาตั๋วขากลับเอาที่สถานีปลายทาง...แต่...ตั๋วขากลับวันที่ 7 ดันเต็มหมดทุกเวลา! ต้องเป็นวันถัดไปถึงจะมีตั๋ว...เท่านั้นล่ะ มาถึงก็เซอร์ไพรส์กันเลย แต่ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยหาทางเอาทีหลังก็ได้ เดินเอาของไปเก็บที่ Hostel ก่อนดีกว่า


ได้ห้องนอนชั้นบนสุด วิวโอเคใช้ได้เลย มีภาพวาดบนกำแพงด้วย. 
ห้องน้ำเป็นห้องน้ำรวม ขนาดไม่ใหญ่มากนัก


มุมเล็กๆบนดาดฟ้า

ภาพ จาก พื้นที่บนดาดฟ้าของ salsa hostel (เบลอเล็กน้อยเพราะลมมันเย็น >.<) 


          Hostel ที่จะพัก ณ วันแรก เดินไม่ไกลจากสถานีรถไฟมากนัก ชื่อ ว่า Salsa Hostel ที่เลือกพักที่นี่ ก็เพราะตั้งอยู่ในตัวเมือง ดูแล้วน่าจะสะดวกในการหาของกิน  เดินชมอะไรต่างๆ และจะได้เที่ยวในตัวเมืองก่อนด้วย เพราะวันดำน้ำคือวันที่ 6 (วันมะรืน)

พอมาถึงที่ hostel ก็ถามเรื่องการกลับจากชุมพรไปกรุงเทพก่อนเลย และก็โชคดีมากเพราะทาง hostel ก็ได้ช่วยตรวจสอบ และพบว่ายังมีรถทัวร์ที่ว่างอยู่ จึงได้จองรถทัวร์เป็นขากลับในวันที่ 7 เท่านี้ก็สบายใจเรียบร้อย ในความโชคร้ายย่อมมีความโชคดีเสมอ หึหึ จากนั้นก็นำของไปเก็บที่ห้อง...

hostel แห่งนี้เพิ่งจะ renovate มาใหม่ สีสันสวยงาม ห้องดูสะอาดตา ห้องน้ำก็สะอาดแต่อาจจะไม่ใหญ่มาก เป็นห้องน้ำรวม และ มีห้องนั่งเล่นรวมด้วย จากนั้นก็ใช้เวลาที่เหลือ ในการเดินชม และ หาของกินรอบๆบริเวณในตัวเมือง จากนั้นก็อาบน้ำนอนอย่างปกติสุข


           ตื่นเช้ามาก็หาของกิน โดยที่ hostel นั้น จะเป็นแบบ self-service ของกินที่เตรียมให้ ณ ตอนที่ผู้เขียนไปพัก มีประมาณตามภาพที่เห็น กินเสร็จเองล้างเอง เรียบร้อย ตอนนั้นเองก็พบกับพี่เจ้าของที่พักซึ่งเป็นคนชุมพร แล้วก็ได้นั่งคุยกันสักพัก (จำชื่อพี่เขาไม่ได้แล้ว) แล้วพี่เขาก็อาสาพาชมเมืองและสถานที่ต่างๆของชุมพร ที่พี่เขาว่าง อาจจะเป็นเพราะ ช่วงที่ไปเป็นช่วงที่ไม่มีคนมาเที่ยว หรือไม่ก็เป็นช่วงที่ไม่มีคนมาพัก (อาจเพราะยังไม่รู้จักกัน) เพราะว่าตอนที่ผู้เขียนไปถึง บอกตรงๆ ที่ hostel โล่งมาก ไม่มีคนพักเลย...จากนั้นก็รอพี่เขาทำธุระเสร็จ แล้วก็ออกเดินทางไปชมจุดต่างๆของเมืองชุมพรกัน บอกตรงๆ วันนี้ทั้งวันได้เที่ยวแบบ หลายที่ ฟรีมากมาย ไม่ต้องเสียค่าเดินทางกันเลยทีเดียว พี่เขาใจมากกกกก
ชมเต่าน้อยลอยน้ำ 




เห็นเพื่อนว่ายน้ำในสระน้ำ อยากลงไปว่ายด้วยจังเลย (เย้ยยยย >_<!!!)

อนุสรณ์


วิวบนเขา......



             ข้อมูลของแต่ละสถานที่อาจจะมีไม่ค่อยมากเพราะผู้เขียนก็จำรายละเอียดของสถานที่แต่ละสถานที่ไม่ได้มากนัก และสถานที่ที่ไปก็อาจจะไม่ใช่สถานที่ยอดฮิตติดท็อปชารต์ทุกที่ เพราะส่วนมากคนชอบพักริมทะเล เปลี่ยนบรรยากาศในการกินข้าว ปาร์ตี้ สังสรรค์ เฮฮา มากกว่า...พอพลบค่ำพี่เขาก็ไปส่งที่ MT Resort ซึ่งเป็นที่พักใกล้กับท่าเรือที่เราต้องขึ้นในตอนเช้าเพื่อที่จะไปดำน้ำที่เกาะเต่ากัน...พอถึงตอนเช้าก็ขึ้นเรือออกเดินทางไปยังเกาะเต่าเพื่อที่จะไปดำน้ำกัน หลังจากนี้ไม่ค่อยมีรูป เพราะระหว่างนั่งอยู่บนเรือก็ไม่มีวิวอะไรให้ถ่ายรูปมากนัก รอบๆตัวมีแต่ทะเล กว้างใหญ่ ก็เลยได้แต่นั่งชมทะเล รับลมทะเลตีหน้าอย่างสบายใจเฉิบไปเรื่อยๆ จนไปถึงเกาะเต่าในที่สุด


รูปบนเกาะเต่า มีแค่รูปเดียว...(ลืมถ่ายมาครับ)

          หลังจากถึงเกาะเต่า ก็ได้รอเรือที่จะพาไปจุดดำน้ำ ซึ่งเรือที่นั่งมาตอนแรกเป็นเรือข้ามเกาะค่อนข้างใหญ่ขนคนมาเยอะ มีทั้งส่วนที่นั่งแบบห้องแอร์และที่นั่งข้างนอกรับลมทะเล ส่วนเรือที่จะขึ้นเพื่อไปดำน้ำเป็นเรือขนคนขนาดย่อม มี 1 ชั้น ที่นั่งเปิดกว้าง เก้าอี้ตั้งเรียงกันเหมือนแบบในห้องเรียนหรือโรงอาหารนั่นเอง พอขึ้นเรือแล้วเดินทางไปจุดดำน้ำ คนก็เริ่มรุมแย่งเสื้อชูชีพกันอย่างขะมักเขม้น ผู้เขียนก็ยืมดูคนรุมแย่งกันอย่างสนุกสนาน จนสุดท้ายเหลือแต่เสื้อชูชีพแบบสภาพไม่ค่อยจะดี ก็หยิบมาใส่แล้วก็ลงไปดำน้ำตามนั้น...ทะเลน้ำใสมาก ดำน้ำดูปลา ดูปะการัง ดูเม่นดำ(ขนหนามยาวมาก) ดำไปดำมาเพลินๆ ก็ได้เวลาเรียกรวมตัวเพื่อขึ้นเรือเตรียมตัวกลับเกาะเต่า หลังจากนั้น ก็ขึ้นเรือข้ามฟากกลับมายังชุมพรเหมือนเดิม...วันนี้ ทั้งวันหมดเวลาไปกับการเดินทางทางทะเลซะส่วนใหญ่ จากนั้น ก็กลับมาพักที่ salsa hostel อีกครั้งเพื่อที่พรุ่งนี้ตอนเช้าก็จะได้ขึ้นรถทัวร์กลับกรุงเทพได้ใกล้ๆหน่อย (แต่ผู้เขียนจำไม่ได้ว่ากลับมาที่ตัวเมืองชุมพรด้วยวิธีไหน ฮ่าๆๆๆๆ)



หาดทุ่งวัวแล่น 

          พอตอนเช้ามาก็ได้แวะไปชมหาดทุ่งวัวแล่น เดินชมหาดที่ไม่ค่อยมีคน ซึ่งแดดร้อนมากกกกก โดยบริเวณหาดก็ไม่ค่อยมีอะไรมาก ดูโล่งๆ แทบจะไม่มีคน อาจเป็นเพราะในช่วงนี้ยังไม่มีนักท่องเที่ยวมากนัก หรืออาจจะไปเที่ยวที่หาดอื่นซะมากกว่า หลังจากนั้นก็รีบกลับมาขึ้นรถทัวร์เพื่อกลับกรุงเทพ ก่อนจะขึ้นรถเหลือบไปเห็นกล้วยเล็บมือนางอบน้ำผึ้งขายอยู่ ก็เลยลองซื้อ ติดไม้ติดมือมาด้วย โดยช่วงเวลาที่ขึ้นรถน่าจะเป็นช่วงกลางวัน พอถึงกรุงเทพ(ที่สถานีหมอชิต)ก็พลบค่ำพอดี จากนั้นก็แยกย้ายกันกลับบ้านไปตามระเบียบ โดยขากลับที่สถานีขนส่งหมอชิตคนเยอะมาก คนรอแท็กซี่ตรึม ผู้เขียนเลยไปขึ้นมอไซค์รับจ้างแทน โดนไป 100 บาท เพื่อไปต่อรถ mrt บางซื่อ ซึ่งไม่รู้ว่าราคานี้ปกติหรือเปล่า? เพราะไม่ได้มีติดป้ายราคาอะไรเลย แต่ก็ต้องยอมจำใจจัดไป ถ้าโดนโกงนี่ก็คงจะฟินมากกกก...และแล้วก็จบการเดินทางแบบเรื่อยเปื่อยมั่วๆ(แต่คุ้มค่ากับประสบการณ์)แต่เพียงเท่านี้จร้า



ความเห็นส่วนตัว

          การไปเที่ยวในครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่ดีมากๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเตรียมตัวไปเที่ยวแบบกระชั้นชิด การวางแผนการเดินทางทั้งขาไปและขากลับ ซึ่งไม่ควรลองพลีชีพ เดาสุ่ม ไม่คิดหน้าคิดหลัง หรือไปตายเอาดาบหน้าอย่างเด็ดขาด ซึ่งในคราวนี้ ถือว่าผู้เขียนโชคดีมากที่ยังไม่ได้เจอเหตุการณ์คาดไม่ถึงแบบแก้ไขไม่ได้ และโชคดีมากที่ Salsa Hostel สภาพดีกว่าที่คาด บวกกับได้เจอกับพี่ผู้ดูแลพวกเราอย่างดี แฟร์ๆ ตรงไปตรงมา...ทำให้รู้ว่าคนดีมีน้ำใจมีอยู่ทุกที่ แล้วแต่โชคชะตาจะนำพาว่าจะเจอกันหรือเปล่า? ถ้ามัวแต่อยู่ที่เดิมไม่ออกไปไหน แล้วเราจะพบเจอกับคนเหล่านี้ได้อย่างไร...แล้วคุณล่ะ? พบเจอสิ่งที่มองหาแล้วหรือยัง? ถ้ายัง แล้วคุณพร้อมที่จะก้าวเท้าเดินออกไปหรือยัง?...การไปเที่ยวบางครั้งมันก็ต้องมีลุยๆหลงๆบ้าง เผื่อพบเห็นสถานที่ใหม่ๆแปลกๆ เจอผู้คนหลากหลายแบบ...การเที่ยวพักผ่อนของหลายคนไม่เหมือนกัน บางคนชอบเที่ยวเพื่อเปลี่ยนที่กินข้าว ซึมซับบรรยากาศสบายๆ ชิวๆ สังสรรค์ เฮฮา บางคนชอบ ท้าทาย ค้นหาพบเจอ สถานที่ใหม่ๆ รสชาติชีวิตหลากหลาย ก็แล้วแต่บุคคลกันไป... สุดท้ายนี้ ก็อย่าลืมหาเวลาไปเที่ยวกันนะครับ อย่ามัวแต่ก้มหน้าก้มตาทำงาน จนสภาพร่างกายไม่ไหวกันไปก่อน แม้ว่าตอนนี้ผู้เขียนจะงานเข้าบ่อยก็ตาม 5555 แต่จะหาเวลาลัลลาเรื่อยเปื่อยต่อไปจร้า...

          ปล. รูปทุกรูปถ่ายเอง มิได้มีการตกแต่งใดๆเพราะแต่งภาพไม่เป็น มีแค่รวมร่างภาพเข้าด้วยกันเท่านั้น อาจจะไม่สวยมากแบบเว่อร์ ฟรุ้งฟริ้ง แต่คือภาพจริง สถานที่จริง ตามสภาพจริง มิได้ปรุงแต่งเพิ่มเติมเพื่อการโฆษณา ชักชวน อาจจะมีภาพไม่สวย ไม่ถูกใจ ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้


**********************************


            ถ้าใครได้เฉียดหรือหลงเข้ามาอ่านแล้วรู้สึกว่าได้อะไรกลับไปบ้าง ไม่ว่าจะความสนุก ความแปลกใจ หรือความรู้...ถ้าได้กลับไปสักนิด ผู้เขียนก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งแล้วครับผม

            ผมยังคงเป็นมือใหม่ในการเขียนบล็อกอยู่ ขอฝากเนื้อฝากตัวและขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาชมบล็อกนี้ ถ้าหากมีข้อผิดพลาดอะไรตรงไหนก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ แล้วจะเป็นความกรุณาอย่างมาก ถ้าผู้อ่านจะช่วยชี้แจงเพิ่มเติมครับ

            ถ้าหากมีผู้สนใจที่จะแชร์หรือแบ่งปันข้อมูลเนื้อหาไม่ว่าทางใดก็สามารถนำไปได้ พร้อมให้เครดิตชื่อบล็อกนี้สักเล็กด้วยนะครับ ขอบคุณคร้าบบบบ



หมายเหตุ : เรื่องราวข้างต้น เป็นการเขียนเรื่องที่ประสบพบเจอโดยตัวเจ้าของบล็อกเอง การเขียนเรื่องราวเหล่านี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อทางธุรกิจแต่อย่างใด และมิได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับใคร ทั้งความรู้สึก ความนึกคิด และความเห็นนั้น เป็นสิ่งที่ได้รับในช่วงระยะเวลานั้นๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่แต่คนละมีความรู้สึกนึกคิดต่างกัน อยากให้ท่านผู้อ่านใช้วิจารณญานในการอ่านและการตัดสินใจ จึงเรียนมาเพื่อทราบ ขอบคุณคร้าบบบบ


**********************************










วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

บรรพชา ณ วัดชลประทานรังสฤษฏ์

เกริ่น

          สาเหตุที่ผู้เขียนตัดสินใจเริ่มจะเขียนบล็อกก็เป็นไปตามที่อธิบายไว้บริเวณส่วนบนใต้ชื่อบล็อก ใจจริงอยากจะเขียนบล็อกนานแล้วแต่ด้วยที่ติดงานแบบหนักหน่วงบวกกับยังไม่แน่ใจว่าจะเขียนอะไรที่พอจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านดี ณ เวลานั้นเอง ประจวบเหมาะกับการที่ผู้เขียนจะบวชพอดีแต่หาข้อมูลค่อนข้างยาก จึงได้เริ่มสร้างบล็อกด้วยเรื่องเกี่ยวกับการบวชและหวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่จะบวชต่อไปได้ครับ ซึ่งตอนที่เริ่มเขียนบล็อกนี้คือหลังจากลาสิกขาแล้ว หางานทำก่อน ก็ 2-3 อาทิตย์โดยประมาณจึงอาจจะจำรายละเอียดได้ไม่ครบถ้วนทุกช่วงเวลา ต้องขออภัยไว้ล่วงหน้าก่อนครับ

          ถ้าถามว่า ทำไมถึงไม่บวชก่อนหน้านี้ ผู้เขียนก็มีสารพัดเหตุผลเลยครับ เช่น จังหวะเวลา ลุยทำงานเก็บเงินแบบหนักหน่วงก่อนแถมดูอนิเมะก็หนักอีก แหมก็ต้องมีช่วงเวลาคลายเครียดลัลลาบ้างเป็นธรรมดา~~~ >_<b พออายุครบ 25 ปีพอดีก็จัดไป ช่วงเวลาการบวช 25/12/2014 - 25/01/2015 เป็นการบวชแบบข้ามปีที่น่าจดจำมาก เพราะได้บวชที่เดียว 2 ปี เลย >vOa!! เอ๋ยังไง!?

เอาล่ะเรามาเริ่มเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าครับ  

ก่อนการเริ่มต้น

          การบวชในครั้งนี้ก็คือการบวชตามประเพณี ผมจึงจำเป็นต้องขวนขวายและค้นฟ้าคว้าดาว เอ้ย! ไม่ใช่แว้วววว >W< หมายถึง ค้นหาวัดที่จะบวชครับบบ ประจวบเหมาะกับการที่ได้ฟังพระเทศน์ที่วัดนี้ในงานศพ พระท่านเทศน์ได้อย่างตรงไปตรงมา และได้ให้ข้อคิดที่ว่าให้คนเรานำสติปัญญาไปในการดำรงชีวิต...วัดของท่าน เป็นวัดที่เคร่งครัดเรื่องการปฏิบัติ ผมจึงได้ตัดสินใจลองบวชที่วัดนี้ดู โดยก่อนที่จะบวชนั้น ผมก็ได้หาข้อมูลการบวช วิธีการบวช รวมถึงบทสวดที่ต้องท่องเตรียมเอาไว้ก่อนจากหลายๆแหล่ง จนได้มาเจอกับเว็บบล็อกนี้ครับ http://watchol.blogspot.com/

ซึ่งผู้เขียน blog ดังกล่าว ได้เขียนอธิบายถึงรายละเอียด ขั้นตอนการสมัคร และการรับสมัคร โดยในเวลาปกตินั้น จะมีการเปิดรับสมัครในทุกอาทิตย์ที่ 2 ของเดือน และต้องสอบท่องคำขอบรรพชาในอาทิตย์ที่ 3 ของเดือน โดยจะทำการบวชทุกวันที่ 1 ของเดือนถัดไป ถ้าตรงกับวันหยุด ก็จะเลื่อนออกไปเป็นวันจันทร์แรกของเดือน และสำหรับผู้ที่มาสมัครบรรพชาอุปสมบทนั้น จะได้รับใบตรวจร่างกาย เพื่อนำมายื่นในวันที่สอบท่อง (อาทิตย์ที่ 3 ของเดือน...ในกรณีที่สอบท่องผ่านแล้ว จะได้ยื่นได้ทันที) โดยในใบการตรวจนั้น จะมีการระบุให้ไปตรวจร่างกายหาโรคต่างๆ ที่เป็นโรคติดต่อเช่น โรคเรื้อน, โรคกลาก, โรคฝี, โรคลมบ้าหมู (ลมชัก) จากนั้นผู้สมัครจะต้องนำผลตรวจเลือด HIV มายื่นด้วยเช่นกัน
ส่วนเรื่องวันและเวลาในการบวชของแต่ละเดือนนั้น อาจเปลี่ยนแปลงไปตามวันในแต่ละเดือน แนะนำให้ติดตามผ่านทางเว็บไซต์ของวัดหรือโทรติดต่อสอบถามทางวัดโดยตรงเลยครับ


สิ่งของที่ควรเตรียมไป (และจะทำให้สะดวกยิ่งขึ้น)

          สิ่งของสำคัญที่ควรเตรียมไปก็คือพวกยาสามัญประจำบ้าน และที่สำคัญมากๆสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น ภูมิแพ้ ก็ต้องพกยารักษาโรคประจำตัวไปด้วย ส่วนสิ่งของอื่นๆนั้น ก็อิงจากที่เราๆใช้ในชีวิตประจำวันได้เลย ส่วนของอื่นๆเพิ่มเติมก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลไป...ของที่ผมได้เตรียมไปนั้น มีดังนี้ครับ

- ช้อนส้อม, ไม้หนีบ, ขันน้ำ, สบู่ (ถ้าเป็นสบู่ก้อนก็นำกล่องสบู่มาด้วย), ไฟฉาย, พัดลม

- ที่โกนหนวด, โฟมสำหรับการโกนหนวด, ที่โกนผม (ถ้าใครจะอยู่ยาวมากกว่า 15 วัน เตรียมไปจะดีมาก เพราะถ้าใช้ที่โกนหนวดมาโกนหัวแทนนั้น ยากมาก(กว่าที่คาดคิดไว้สุดๆ) และอาจจะทำให้ใบมีดของที่โกนหนวดอันนั้นเสียไปเลยก็ได้...ผมมีประสบการณ์ตรงครับ ลองมากับตัวเองแล้ว >_<)

- กะละมัง + ผงซักฟอก, เก้าอี้แบบเล็ก (เอาไว้นั่งล้างจานหรือซักผ้า โดยที่วัดก็มีให้ แต่เก่าใหม่ปนกันไป)

- น้ำยาล้างจาน + สก๊อตไบรท์ (ที่วัดมีเช่นกัน แต่ผ่านการใช้มาหลายมือ บางครั้งก็มีเศษฝุ่นหรือสี เปื้อนอยู่)

- ยาสามัญประจำบ้าน, ยาทาแผล + พลาสเตอร์ + แอลกอฮอล์ (เอาไว้ทำแผลที่เท้า ในเวลาเท้าพองหรือบาดเจ็บจากการบิณฑบาต ถ้าโชคดีอาจได้จากโยมตอนที่เราไปเดินบิณฑบาต)

- หมอนนอน + ผ้าห่ม + ผ้าปูที่นอน (ถ้าใครนอนเสื่อแล้วกลัวว่าจะเจ็บหรือทนไม่ได้)

- นาฬิกาปลุก (เสียงยิ่งดังยิ่งดี หรือ ปลุกต่อเนื่องได้ยิ่งดี เพราะจะได้เผื่อข้างห้องเป็นการช่วยกันปลุกไปในตัวด้วย)

- หนังสืออ่านเล่น (ช่วง 15 วันแรกอาจจะไม่ค่อยได้อ่าน เพราะตารางแน่นมาก แต่ถ้าเป็นคนที่บวช นาน หลังจาก 15 วันไปจะมีเวลาว่างเพิ่มขึ้น)

- ยากันยุง, มุ้งกันยุง (ขึ้นอยู่กับสภาพห้องว่า มุ้งลวด ขาดเยอะมากแค่ไหน)

- แม่กุญแจ (เผื่อกรณีบวชยาวแล้วอยู่ห้องคนเดียว เอาไว้กันขโมย)


ระหว่างการบวช / ช่วงครองผ้าเหลือง

          ชีวิตที่อยู่ในช่วงเวลาแห่งการบวชนั้นเป็นชีวิตที่ไม่เร่งรีบ เรียบง่าย สำรวมกาย วาจา ใจ เพื่อศึกษาและปฏิบัติธรรม รวมถึงแสวงหาทางแห่งการลดละกิเลส อันถือว่าเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ล้ำค่าที่ไม่สามารถหาได้จากเพียงแค่การอ่าน ฟัง หรือค้นหาตามตำราเท่านั้น แต่เป็นหนทางแห่งการปฏิบัติตนที่ต้องทำด้วยตนเอง ฝึกตนเอง พิจารณาตนเองให้อยู่ในศีลธรรม อยู่ในความสำรวม และประพฤติดีทั้งกาย วาจา ใจ ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่จัดว่ายากพอสมควร อันเนื่องมาจากการที่ผู้ชายมากมายมารวมตัวกันในที่เดียวกันนั้น ก็แน่นอนว่าต้องมีการคุยเรื่องทางโลกต่างๆนานา ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่า ตัวเองเรานั้นมีความเข้มแข็งทางจิตใจและรู้ตนเองแค่ไหน ว่าเรามาทำอะไรที่นี่ มาบวชเพื่ออะไร สิ่งใดควรทำหรือไม่ควรทำ...โดยปกติ ยามเวลาพักก็จะมีการจับกลุ่มคุยกันในหลายๆเรื่อง ซึ่งในเวลาที่มีใครเปิดประเด็นเรื่องทางโลก ก็จะมีทั้งส่วนที่นั่งอยู่คุยต่อ และก็จะมีบางส่วนที่ขอแยกตัวออกมาเข้าห้องอ่านหนังสือ(ที่พระอาจารย์ให้ไว้สำหรับพระนวกะอ่านกันโดยเฉพาะ จะได้ไม่ต้องคุยกันมาก เพราะยิ่งคุยกันมากก็ยิ่งฟุ้งซ่านมาก ซึ่งจะส่งผลให้จิตไม่สงบและจะไม่สามารถสำรวมในกาย วาจา ใจ ได้ในช่วงเวลาแห่งการบวชนี้)

          ช่วงแรกหรือช่วงที่เพิ่งบวชใหม่ พระอาจารย์จะสอนห่มสบง จีวร และให้ท่องบทสวดในการให้พร(ที่จะสวด ณ ลานหินโค้ง) ในการห่มจีวร จะมีทั้งแบบตอนที่อยู่ในวัด คือแบบเปิดไหล่ด้านขวา และแบบคลุมทั้งลำตัวตั้งแต่คอลงมา ซึ่งเป็นการห่มเพื่อเดินบิณฑบาต ทั้ง 2 แบบนี้เราต้องใช้ประจำทุกๆวัน...ในการห่มจีวรช่วงแรกอาจจะยากหน่อย แต่เมื่อฝึกไปทุกวันก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายและเคยชินได้ในที่สุด โดยพระอาจารย์จะให้เวลาฝึกห่มจีวรและท่องบทสวดประมาณ 1-2 วัน แล้วหลังจากนั้นก็จะแบ่งสายบิณฑบาตให้

          การออกบิณฑบาตของพระนวกะ ประตูจะเปิดเวลา 05.45น. จากนั้น ก็แล้วแต่ว่าสายไหนจะออกเวลากี่โมง ถ้าไกลก็ออกตั้งแต่ช่วงเวลาที่ประตูเปิด ถ้าใกล้หน่อยก็ตามเวลาที่นัดกันกับพระรุ่นพี่นำทาง โดยในส่วนของเส้นทางนั้น ก็จะเป็นตามสายที่พระอาจารย์จัดเอาไว้ให้ ซึ่งเราจะสามารถเลือกสายเองได้ เช่น ถ้าสายนั้นอยู่ในเส้นบ้านของตัวเอง เป็นต้น ในทางกลับกัน ถ้าบ้านของตัวเองอยู่นอกเส้นทางที่บิณฑบาต ก็ไม่สามารถที่จะเลือกไปได้ ดังนั้น เราก็อาจขอให้ญาติทางบ้านมารอที่วัดก็ได้

          การบิณฑบาตแต่ละสาย ก็อาจจะมีการให้พรสั้นยาวไม่เหมือนกัน โดยจะมีการตกลงคุยกันก่อนกับพระรุ่นพี่นำทาง...การบิณฑบาตเริ่มตอนเช้ามืดที่ยังไม่มีแสงแดดจึงไม่ร้อนมากนัก ถ้าเป็นช่วงหน้าหนาวปลายปี อากาศจะเย็นเดินได้สบายๆ แต่ต้องระวังเศษแก้ว เศษไม้ อาจจะตำเท้าได้

สายที่กระผมเดินบิณฑบาตนั้น เศษแก้วแตกเยอะมากเพราะสายที่เดินเป็นสายที่มีสถานบันเทิงอยู่ด้วย ซึ่งการโดนอะไรตำเข้าไปในเท้านี่ ค่อนข้างเจ็บมากเลยทีเดียว(โดนเศษไม้ตำไป 2 รอบ ในหมู่บ้าน T_T) สายบิณฑบาตสายที่ไกลๆหรือสายที่คนรอใส่บาตรเยอะ มักจะมีรถมาส่งที่วัด(รถโยมที่อาสามาช่วยพระ)

          หลังจากที่บิณฑบาตเสร็จแล้ว พระนวกะจะมารวมตัวกันที่ลานหินโค้งเพื่อให้ญาติโยมทั้งหลายได้ใส่บาตรกัน เรื่องอาหารการกินของพระ ถ้าอยู่วัดนี้บอกได้เลยว่าไม่มีอด เพราะอาหารจะมีเยอะมาก มากซะจนบางครั้งรู้สึกอยากกินไปหมดแต่ไม่รู้จะกินอะไรดี(น้ำหนักก็เลยขึ้นตามระเบียบ) โดยการฉันภัตตาหาร(ฉันเช้า) จะฉันที่บริเวณลานหินโค้งนั่นเอง

          การฉันอาหารของพระสำหรับคนที่ชอบกินข้าวแกง2-3อย่างในจานเดียวกันอยู่แล้วก็จะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างง่ายมากเพราะค่อนข้างจะคล้ายกันมาก ยกเว้นแต่ว่า ใครจะเพิ่มของหวาน,ผลไม้เข้าไปด้วยก็จะได้รสชาติที่อร่อยไปอีกแบบ หรือไม่ อาจจะฉันอาหารให้เสร็จก่อนแล้วค่อยฉันผลไม้ หรือของหวานทีหลังก็ได้ โดยพระจะรีเควสท์ของที่อยากได้หรืออยากฉันไม่ได้ หรือก็คือได้อาหารอะไรมาก็พิจารณาตามสังขารตนเอง ว่าฉันได้หรือไม่ บางครั้งญาติโยมมาใส่บาตรแล้วก็บอกว่าอาหารที่มาถวายนี้ทำเองกับมือ หรือไม่ก็คอยมองพระว่าจะฉันอาหารที่ถวายหรือเปล่า ซึ่งพระเราก็จัดให้ญาติโยมตามศรัทธา ฉันเท่าที่ฉันได้

          ความเป็นอยู่ที่นี่ไม่ลำบากมาก เพราะว่าเราสามารถฉันน้ำได้ตลอดเวลาไม่ต้องกังวลว่าเราจะหิวจนทนไม่ไหว ถ้าลืมของใช้สิ่งใดและถ้าที่วัดมี ก็สามารถบอกพระอาจารย์ได้ ส่วนเรื่องของที่ได้จากการบิณฑบาตนั้น ไม่ว่าจะเป็นปัจจัย สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ก็ขึ้นอยู่กับเราว่าจะนำไปใช้หรือจะบริจาคให้กับวัด

          ส่วนเรื่องผี ที่วัดนี้ยังไม่เคยเจอหรือมีปรากฏการณ์อะไรแปลกที่จะทำให้หลอนได้เลย ขนาดพระอาจารย์ที่ว่าบวชมานานกว่า 20 ปี ยังบอกเลยว่ายังไม่เคยเจอสักที โดยส่วนตัวนั้น บังเอิญว่าพระที่นอนห้องเดียวกันต้องสึกออกไปก่อน เพราะไม่สามารถทนความเจ็บปวดจากอาการที่เกี่ยวกับกล้ามเนื้ออักเสบได้ จึงทำให้กระผมนั้นต้องนอนคนเดียวประมาณ 20 กว่าวัน แต่ก็ไม่ได้พบเจอหรือรู้สึกว่ามีปรากฏการณ์แปลกๆในห้องนอนตอนกลางคืนเลย...แต่มีอยู่วันหนึ่ง เป็นช่วงกลางวันก็นอนในห้องปกติเหมือนทุกวัน แต่ว่าวันนั้นรู้สึกเหมือนมีเงาอะไรมาบังแสงที่ลอดผ่านใต้ประตู ก็เลยงงว่ามีอะไรมาอยู่หรือกั้นตรงหน้าประตูหรือเปล่า พอมองขึ้นไปที่ช่องตาแมวที่เป็นลักษณะสี่เหลี่ยมผืนผ้าความยาวประมาณ 1 คืบถึงกับผงะ เพราะเจอดวงตา 1 คู่ที่กำลังมองมาในห้อง ณ ตอนนั้นบอกเลยว่า มึน นิ่ง งง มาก ว่าเรากำลังโดนแอบมองอยู่ใช่หรือไม่ ตอนนั้นก็ทำอะไรไม่ถูกไปเลย นอนนิ่งอยู่อย่างนั้นแล้วสายตาคู่นั้นก็จากไป และพอได้สติก็พอจะจำแววตาคู่นั้นได้ว่าคือใครและเป็นใคร เพราะคนคนนั้นชอบเดินไปเดินมาผ่านหน้าห้องทั้งๆที่อยู่คนละมุมกุฏิและชอบมาชวนคุย พยายามเข้ามาใกล้ๆตลอดเลย หลังจากเหตุการณ์นี้ ผมก็มีความรู้สึกที่ว่า อยู่ที่วัดไม่ต้องกังวลหรือกลัวผี แต่ให้กังวลกับอย่างอื่นแทน จึงทำให้คิดคำเตือนใจตัวเองได้ว่า

    "ในหมู่ชายทั้งหลาย ย่อมมีชายเหนือชายเสมอ โปรดระวังประตูของท่านเอาไว้ให้ดี"

          พระอาจารย์บอกเอาไว้ว่าของมีค่าเช่น โทรศัพท์ โน๊ตบุ๊ค เงินทอง และของสำคัญต่างๆ ไม่ควรนำติดตัวมาด้วย เพราะว่าที่วัดเคยมีคนไม่หวังดีเข้ามาลักขโมยของที่วัด ซึ่งส่วนที่อยู่ของพระใหม่เป็นที่ใกล้ทางเข้าออกวัด คนนอกสามารถเดินเข้าออกได้อย่างสะดวก เราไม่อาจรู้ได้เลยว่า คนๆนั้นจะเป็นผู้ที่หวังดีหรือไม่ดี จึงอาจจะทำให้เสี่ยงต่อการโดนขโมยของได้ เพราะฉะนั้น ถึงเราจะอยู่ในเขตของวัด แต่ว่าเราก็อยู่ร่วมกันกับผู้คนอื่นอีกมากมายเช่นกัน


ความรู้สึกหลังจากการบวช

          สิ่งแรกที่ได้เห็นตั้งแต่วันแรกที่บวชเลยคือพ่อแม่ญาติพี่น้องของคนที่มาบวชนั้นล้วนยินดีมีรอยยิ้มแห่งความสุขที่ได้เห็นลูกหลานของตนบวช อย่างต่อมาก็คือ ช่วงเวลาที่ไปเดินบิณฑบาต จะได้พบผู้คนที่รอคอยพระเพื่อที่จะได้ใส่บาตร แล้วพอผู้คนเหล่านั้นเห็นพระมาก็จะมีสีหน้ายิ้มแย้มมีความสุขที่ได้เจอพระและได้ใส่บาตรพระในยามเช้าของแต่ละวัน ซึ่งเหล่าผู้คนที่รอคอยนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นคนสูงอายุถึงขั้นวัยชราและในบางครั้งก็มีเด็กมาใส่บาตรด้วยก่อนไปโรงเรียน...พอกลับมาที่วัดก็จะเจอผู้คนที่มารอคอยพระเพื่อที่จะใส่บาตรอีกเช่นกัน โดยมีความสงบและรอยยิ้ม ณ ยามเช้าที่เป็นดั่งจุดเริ่มต้นของวันใหม่ ก่อนที่จะไปเจอสังคมเร่งรีบ การแข่งขัน แก่งแย่ง รถติด หงุดหงิดและวุ่นวาย ในชีวิตประจำวันของแต่ละคน

          การบวชในระยะเวลา 1 เดือนโดยที่ไม่ติดตามข่าวสาร และไม่ได้เล่นมือถือหรือเล่นคอมพ์เลยนั้น ถือเป็นช่วงชีวิตที่น่าจะลองสัมผัสกันเองสักครั้งหนึ่ง ทั้งยังมีข้อคิดจากประสบการณ์ความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายออกมาได้หมด ถ้าใครอยากจะลองสัมผัสด้วยตัวเองก็ต้องลองบวชดูนะครับ อิอิ

          พระอาจารย์กล่าวเอาไว้ว่าการที่เราจะประพฤติตนให้อยู่ในศีลธรรม ทำความดี ทำใจให้สงบได้นั้น ไม่จำเป็นว่าต้องมาบวชเป็นพระอย่างเดียว แต่เราสามารถที่จะทำตนให้อยู่ในศีลธรรม ทำความดี ทำใจให้สงบ ทำสมาธิ พิจารณาตนเอง ที่บ้านก็ยังได้ หรือ จะเข้าวัดช่วงเทศกาลหรือวันหยุดก็ได้

          รุ่นที่กระผมบวชนั้น เป็นช่วงที่วัดได้มีการแต่งตั้งเจ้าอาวาสใหม่พอดี จึงมีการเปลี่ยนแปลงในอะไรหลายๆอย่าง เช่น วิธีการบวช หรือ กิจกรรมที่เพิ่มขึ้นในรุ่นถัดไปด้วย สุดท้ายนี้ กระผมขอขอบพระคุณวัดชลประทานรังสฤษดิ์ สำหรับประสบการณ์ชีวิตอันล้ำค่าที่หาไม่ได้ในห้องเรียนเป็นเวลาถึงหนึ่งเดือนเต็ม หากมีท่านใดที่สนใจ หรือมีข้อสงสัยเรื่องวิธีการบวช รวมถึงเรื่องที่สงสัยเกี่ยวกับการเตรียมตัวสำหรับบวช สามารถติดตามโทรสอบถามทางวัดชลประทานรังสฤษดิ์เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ตามข้อมูลด้านล่างครับ

Website ของวัดชลประทานรังสฤษดิ์ : http://www.watchol.org/

หน้าที่เอาไว้ดาวน์โหลดไฟล์เสียงเป็นบทสวดที่จะใช้สำหรับการสอบท่อง :

ติดต่อทางวัดได้ที่ : http://www.watchol.org/contact

สำนักงานวัดชลประทานรังสฤษฏ์ สอบถามเรื่องทั่วๆไป และกิจนิมนต์
โทรศัพท์: 02-583-8845  , แฟกซ์: 02-583-6457

กุฏิสี่เหลี่ยม ที่อยู่พระของพระนวกะ (พระภิกษุบวชใหม่)
โทรศัพท์: 02-583-8733


บทส่งท้าย

          หากใครยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะบวชหรือไม่บวชดี ผมก็แนะนำให้บวชตามที่ได้กล่าวมาแล้ว เพราะท่านที่ตัดสินใจบวชจะได้รับประสบการณ์ที่หาไม่ได้ในชีวิตปกติประจำวัน(ขึ้นอยู่กับว่าบวชที่วัดไหนอีกเช่นกัน) อาจจะเป็นที่พักใจ หาความสงบจาก สิ่งรอบตัวที่วุ่นวาย หรือ เป็นเรื่องสนุก แปลกใหม่ ได้ทำเรื่องที่ไม่เคยทำและสำหรับคนที่กำลังกังวลว่าบวชนั้นยาก ไม่สบาย ลำบาก ก็อยากจะให้ลองดูสักครั้งอาจจะติดใจก็เป็นได้ อิอิอิอิ >_<d

ปล. รูปท่านั่งของแมวประจำกุฏิ (มิได้ท้องแต่อย่างใด) พระนวกะเลี้ยงดูกันเป็นอย่างดีนั่นเอง คริคริ




**********************************

          ถ้าใครได้เฉียดหรือหลงเข้ามาอ่านแล้วรู้สึกว่าได้อะไรกลับไปบ้าง ไม่ว่าจะความสนุก ความแปลกใจ หรือความรู้...ถ้าได้กลับไปสักนิด ผู้เขียนก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งแล้วครับผม

ผมยังคงเป็นมือใหม่ในการเขียนบล็อกอยู่ ขอฝากเนื้อฝากตัวและขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาชมบล็อกนี้ ถ้าหากมีข้อผิดพลาดอะไรตรงไหนก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ แล้วจะเป็นความกรุณาอย่างมาก ถ้าผู้อ่านจะช่วยชี้แจงเพิ่มเติมครับ

          ถ้าหากมีผู้สนใจที่จะแชร์หรือแบ่งปันข้อมูลเนื้อหาไม่ว่าทางใดก็สามารถนำไปได้ พร้อมให้เครดิตชื่อบล็อกนี้สักเล็กด้วยนะครับ ขอบคุณคร้าบบบบ



หมายเหตุ : เรื่องราวข้างต้น เป็นการเขียนเรื่องที่ประสบพบเจอโดยตัวเจ้าของบล็อกเอง การเขียนเรื่องราวเหล่านี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อทางธุรกิจแต่อย่างใด และมิได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับใคร ทั้งความรู้สึก ความนึกคิด และความเห็นนั้น เป็นสิ่งที่ได้รับในช่วงระยะเวลานั้นๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่แต่คนละมีความรู้สึกนึกคิดต่างกัน อยากให้ท่านผู้อ่านใช้วิจารณญานในการอ่านและการตัดสินใจ จึงเรียนมาเพื่อทราบ ขอบคุณคร้าบบบบ

                                   ***********************************