วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

บรรพชา ณ วัดชลประทานรังสฤษฏ์

เกริ่น

          สาเหตุที่ผู้เขียนตัดสินใจเริ่มจะเขียนบล็อกก็เป็นไปตามที่อธิบายไว้บริเวณส่วนบนใต้ชื่อบล็อก ใจจริงอยากจะเขียนบล็อกนานแล้วแต่ด้วยที่ติดงานแบบหนักหน่วงบวกกับยังไม่แน่ใจว่าจะเขียนอะไรที่พอจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านดี ณ เวลานั้นเอง ประจวบเหมาะกับการที่ผู้เขียนจะบวชพอดีแต่หาข้อมูลค่อนข้างยาก จึงได้เริ่มสร้างบล็อกด้วยเรื่องเกี่ยวกับการบวชและหวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่จะบวชต่อไปได้ครับ ซึ่งตอนที่เริ่มเขียนบล็อกนี้คือหลังจากลาสิกขาแล้ว หางานทำก่อน ก็ 2-3 อาทิตย์โดยประมาณจึงอาจจะจำรายละเอียดได้ไม่ครบถ้วนทุกช่วงเวลา ต้องขออภัยไว้ล่วงหน้าก่อนครับ

          ถ้าถามว่า ทำไมถึงไม่บวชก่อนหน้านี้ ผู้เขียนก็มีสารพัดเหตุผลเลยครับ เช่น จังหวะเวลา ลุยทำงานเก็บเงินแบบหนักหน่วงก่อนแถมดูอนิเมะก็หนักอีก แหมก็ต้องมีช่วงเวลาคลายเครียดลัลลาบ้างเป็นธรรมดา~~~ >_<b พออายุครบ 25 ปีพอดีก็จัดไป ช่วงเวลาการบวช 25/12/2014 - 25/01/2015 เป็นการบวชแบบข้ามปีที่น่าจดจำมาก เพราะได้บวชที่เดียว 2 ปี เลย >vOa!! เอ๋ยังไง!?

เอาล่ะเรามาเริ่มเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าครับ  

ก่อนการเริ่มต้น

          การบวชในครั้งนี้ก็คือการบวชตามประเพณี ผมจึงจำเป็นต้องขวนขวายและค้นฟ้าคว้าดาว เอ้ย! ไม่ใช่แว้วววว >W< หมายถึง ค้นหาวัดที่จะบวชครับบบ ประจวบเหมาะกับการที่ได้ฟังพระเทศน์ที่วัดนี้ในงานศพ พระท่านเทศน์ได้อย่างตรงไปตรงมา และได้ให้ข้อคิดที่ว่าให้คนเรานำสติปัญญาไปในการดำรงชีวิต...วัดของท่าน เป็นวัดที่เคร่งครัดเรื่องการปฏิบัติ ผมจึงได้ตัดสินใจลองบวชที่วัดนี้ดู โดยก่อนที่จะบวชนั้น ผมก็ได้หาข้อมูลการบวช วิธีการบวช รวมถึงบทสวดที่ต้องท่องเตรียมเอาไว้ก่อนจากหลายๆแหล่ง จนได้มาเจอกับเว็บบล็อกนี้ครับ http://watchol.blogspot.com/

ซึ่งผู้เขียน blog ดังกล่าว ได้เขียนอธิบายถึงรายละเอียด ขั้นตอนการสมัคร และการรับสมัคร โดยในเวลาปกตินั้น จะมีการเปิดรับสมัครในทุกอาทิตย์ที่ 2 ของเดือน และต้องสอบท่องคำขอบรรพชาในอาทิตย์ที่ 3 ของเดือน โดยจะทำการบวชทุกวันที่ 1 ของเดือนถัดไป ถ้าตรงกับวันหยุด ก็จะเลื่อนออกไปเป็นวันจันทร์แรกของเดือน และสำหรับผู้ที่มาสมัครบรรพชาอุปสมบทนั้น จะได้รับใบตรวจร่างกาย เพื่อนำมายื่นในวันที่สอบท่อง (อาทิตย์ที่ 3 ของเดือน...ในกรณีที่สอบท่องผ่านแล้ว จะได้ยื่นได้ทันที) โดยในใบการตรวจนั้น จะมีการระบุให้ไปตรวจร่างกายหาโรคต่างๆ ที่เป็นโรคติดต่อเช่น โรคเรื้อน, โรคกลาก, โรคฝี, โรคลมบ้าหมู (ลมชัก) จากนั้นผู้สมัครจะต้องนำผลตรวจเลือด HIV มายื่นด้วยเช่นกัน
ส่วนเรื่องวันและเวลาในการบวชของแต่ละเดือนนั้น อาจเปลี่ยนแปลงไปตามวันในแต่ละเดือน แนะนำให้ติดตามผ่านทางเว็บไซต์ของวัดหรือโทรติดต่อสอบถามทางวัดโดยตรงเลยครับ


สิ่งของที่ควรเตรียมไป (และจะทำให้สะดวกยิ่งขึ้น)

          สิ่งของสำคัญที่ควรเตรียมไปก็คือพวกยาสามัญประจำบ้าน และที่สำคัญมากๆสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น ภูมิแพ้ ก็ต้องพกยารักษาโรคประจำตัวไปด้วย ส่วนสิ่งของอื่นๆนั้น ก็อิงจากที่เราๆใช้ในชีวิตประจำวันได้เลย ส่วนของอื่นๆเพิ่มเติมก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลไป...ของที่ผมได้เตรียมไปนั้น มีดังนี้ครับ

- ช้อนส้อม, ไม้หนีบ, ขันน้ำ, สบู่ (ถ้าเป็นสบู่ก้อนก็นำกล่องสบู่มาด้วย), ไฟฉาย, พัดลม

- ที่โกนหนวด, โฟมสำหรับการโกนหนวด, ที่โกนผม (ถ้าใครจะอยู่ยาวมากกว่า 15 วัน เตรียมไปจะดีมาก เพราะถ้าใช้ที่โกนหนวดมาโกนหัวแทนนั้น ยากมาก(กว่าที่คาดคิดไว้สุดๆ) และอาจจะทำให้ใบมีดของที่โกนหนวดอันนั้นเสียไปเลยก็ได้...ผมมีประสบการณ์ตรงครับ ลองมากับตัวเองแล้ว >_<)

- กะละมัง + ผงซักฟอก, เก้าอี้แบบเล็ก (เอาไว้นั่งล้างจานหรือซักผ้า โดยที่วัดก็มีให้ แต่เก่าใหม่ปนกันไป)

- น้ำยาล้างจาน + สก๊อตไบรท์ (ที่วัดมีเช่นกัน แต่ผ่านการใช้มาหลายมือ บางครั้งก็มีเศษฝุ่นหรือสี เปื้อนอยู่)

- ยาสามัญประจำบ้าน, ยาทาแผล + พลาสเตอร์ + แอลกอฮอล์ (เอาไว้ทำแผลที่เท้า ในเวลาเท้าพองหรือบาดเจ็บจากการบิณฑบาต ถ้าโชคดีอาจได้จากโยมตอนที่เราไปเดินบิณฑบาต)

- หมอนนอน + ผ้าห่ม + ผ้าปูที่นอน (ถ้าใครนอนเสื่อแล้วกลัวว่าจะเจ็บหรือทนไม่ได้)

- นาฬิกาปลุก (เสียงยิ่งดังยิ่งดี หรือ ปลุกต่อเนื่องได้ยิ่งดี เพราะจะได้เผื่อข้างห้องเป็นการช่วยกันปลุกไปในตัวด้วย)

- หนังสืออ่านเล่น (ช่วง 15 วันแรกอาจจะไม่ค่อยได้อ่าน เพราะตารางแน่นมาก แต่ถ้าเป็นคนที่บวช นาน หลังจาก 15 วันไปจะมีเวลาว่างเพิ่มขึ้น)

- ยากันยุง, มุ้งกันยุง (ขึ้นอยู่กับสภาพห้องว่า มุ้งลวด ขาดเยอะมากแค่ไหน)

- แม่กุญแจ (เผื่อกรณีบวชยาวแล้วอยู่ห้องคนเดียว เอาไว้กันขโมย)


ระหว่างการบวช / ช่วงครองผ้าเหลือง

          ชีวิตที่อยู่ในช่วงเวลาแห่งการบวชนั้นเป็นชีวิตที่ไม่เร่งรีบ เรียบง่าย สำรวมกาย วาจา ใจ เพื่อศึกษาและปฏิบัติธรรม รวมถึงแสวงหาทางแห่งการลดละกิเลส อันถือว่าเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ล้ำค่าที่ไม่สามารถหาได้จากเพียงแค่การอ่าน ฟัง หรือค้นหาตามตำราเท่านั้น แต่เป็นหนทางแห่งการปฏิบัติตนที่ต้องทำด้วยตนเอง ฝึกตนเอง พิจารณาตนเองให้อยู่ในศีลธรรม อยู่ในความสำรวม และประพฤติดีทั้งกาย วาจา ใจ ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่จัดว่ายากพอสมควร อันเนื่องมาจากการที่ผู้ชายมากมายมารวมตัวกันในที่เดียวกันนั้น ก็แน่นอนว่าต้องมีการคุยเรื่องทางโลกต่างๆนานา ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่า ตัวเองเรานั้นมีความเข้มแข็งทางจิตใจและรู้ตนเองแค่ไหน ว่าเรามาทำอะไรที่นี่ มาบวชเพื่ออะไร สิ่งใดควรทำหรือไม่ควรทำ...โดยปกติ ยามเวลาพักก็จะมีการจับกลุ่มคุยกันในหลายๆเรื่อง ซึ่งในเวลาที่มีใครเปิดประเด็นเรื่องทางโลก ก็จะมีทั้งส่วนที่นั่งอยู่คุยต่อ และก็จะมีบางส่วนที่ขอแยกตัวออกมาเข้าห้องอ่านหนังสือ(ที่พระอาจารย์ให้ไว้สำหรับพระนวกะอ่านกันโดยเฉพาะ จะได้ไม่ต้องคุยกันมาก เพราะยิ่งคุยกันมากก็ยิ่งฟุ้งซ่านมาก ซึ่งจะส่งผลให้จิตไม่สงบและจะไม่สามารถสำรวมในกาย วาจา ใจ ได้ในช่วงเวลาแห่งการบวชนี้)

          ช่วงแรกหรือช่วงที่เพิ่งบวชใหม่ พระอาจารย์จะสอนห่มสบง จีวร และให้ท่องบทสวดในการให้พร(ที่จะสวด ณ ลานหินโค้ง) ในการห่มจีวร จะมีทั้งแบบตอนที่อยู่ในวัด คือแบบเปิดไหล่ด้านขวา และแบบคลุมทั้งลำตัวตั้งแต่คอลงมา ซึ่งเป็นการห่มเพื่อเดินบิณฑบาต ทั้ง 2 แบบนี้เราต้องใช้ประจำทุกๆวัน...ในการห่มจีวรช่วงแรกอาจจะยากหน่อย แต่เมื่อฝึกไปทุกวันก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายและเคยชินได้ในที่สุด โดยพระอาจารย์จะให้เวลาฝึกห่มจีวรและท่องบทสวดประมาณ 1-2 วัน แล้วหลังจากนั้นก็จะแบ่งสายบิณฑบาตให้

          การออกบิณฑบาตของพระนวกะ ประตูจะเปิดเวลา 05.45น. จากนั้น ก็แล้วแต่ว่าสายไหนจะออกเวลากี่โมง ถ้าไกลก็ออกตั้งแต่ช่วงเวลาที่ประตูเปิด ถ้าใกล้หน่อยก็ตามเวลาที่นัดกันกับพระรุ่นพี่นำทาง โดยในส่วนของเส้นทางนั้น ก็จะเป็นตามสายที่พระอาจารย์จัดเอาไว้ให้ ซึ่งเราจะสามารถเลือกสายเองได้ เช่น ถ้าสายนั้นอยู่ในเส้นบ้านของตัวเอง เป็นต้น ในทางกลับกัน ถ้าบ้านของตัวเองอยู่นอกเส้นทางที่บิณฑบาต ก็ไม่สามารถที่จะเลือกไปได้ ดังนั้น เราก็อาจขอให้ญาติทางบ้านมารอที่วัดก็ได้

          การบิณฑบาตแต่ละสาย ก็อาจจะมีการให้พรสั้นยาวไม่เหมือนกัน โดยจะมีการตกลงคุยกันก่อนกับพระรุ่นพี่นำทาง...การบิณฑบาตเริ่มตอนเช้ามืดที่ยังไม่มีแสงแดดจึงไม่ร้อนมากนัก ถ้าเป็นช่วงหน้าหนาวปลายปี อากาศจะเย็นเดินได้สบายๆ แต่ต้องระวังเศษแก้ว เศษไม้ อาจจะตำเท้าได้

สายที่กระผมเดินบิณฑบาตนั้น เศษแก้วแตกเยอะมากเพราะสายที่เดินเป็นสายที่มีสถานบันเทิงอยู่ด้วย ซึ่งการโดนอะไรตำเข้าไปในเท้านี่ ค่อนข้างเจ็บมากเลยทีเดียว(โดนเศษไม้ตำไป 2 รอบ ในหมู่บ้าน T_T) สายบิณฑบาตสายที่ไกลๆหรือสายที่คนรอใส่บาตรเยอะ มักจะมีรถมาส่งที่วัด(รถโยมที่อาสามาช่วยพระ)

          หลังจากที่บิณฑบาตเสร็จแล้ว พระนวกะจะมารวมตัวกันที่ลานหินโค้งเพื่อให้ญาติโยมทั้งหลายได้ใส่บาตรกัน เรื่องอาหารการกินของพระ ถ้าอยู่วัดนี้บอกได้เลยว่าไม่มีอด เพราะอาหารจะมีเยอะมาก มากซะจนบางครั้งรู้สึกอยากกินไปหมดแต่ไม่รู้จะกินอะไรดี(น้ำหนักก็เลยขึ้นตามระเบียบ) โดยการฉันภัตตาหาร(ฉันเช้า) จะฉันที่บริเวณลานหินโค้งนั่นเอง

          การฉันอาหารของพระสำหรับคนที่ชอบกินข้าวแกง2-3อย่างในจานเดียวกันอยู่แล้วก็จะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างง่ายมากเพราะค่อนข้างจะคล้ายกันมาก ยกเว้นแต่ว่า ใครจะเพิ่มของหวาน,ผลไม้เข้าไปด้วยก็จะได้รสชาติที่อร่อยไปอีกแบบ หรือไม่ อาจจะฉันอาหารให้เสร็จก่อนแล้วค่อยฉันผลไม้ หรือของหวานทีหลังก็ได้ โดยพระจะรีเควสท์ของที่อยากได้หรืออยากฉันไม่ได้ หรือก็คือได้อาหารอะไรมาก็พิจารณาตามสังขารตนเอง ว่าฉันได้หรือไม่ บางครั้งญาติโยมมาใส่บาตรแล้วก็บอกว่าอาหารที่มาถวายนี้ทำเองกับมือ หรือไม่ก็คอยมองพระว่าจะฉันอาหารที่ถวายหรือเปล่า ซึ่งพระเราก็จัดให้ญาติโยมตามศรัทธา ฉันเท่าที่ฉันได้

          ความเป็นอยู่ที่นี่ไม่ลำบากมาก เพราะว่าเราสามารถฉันน้ำได้ตลอดเวลาไม่ต้องกังวลว่าเราจะหิวจนทนไม่ไหว ถ้าลืมของใช้สิ่งใดและถ้าที่วัดมี ก็สามารถบอกพระอาจารย์ได้ ส่วนเรื่องของที่ได้จากการบิณฑบาตนั้น ไม่ว่าจะเป็นปัจจัย สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ก็ขึ้นอยู่กับเราว่าจะนำไปใช้หรือจะบริจาคให้กับวัด

          ส่วนเรื่องผี ที่วัดนี้ยังไม่เคยเจอหรือมีปรากฏการณ์อะไรแปลกที่จะทำให้หลอนได้เลย ขนาดพระอาจารย์ที่ว่าบวชมานานกว่า 20 ปี ยังบอกเลยว่ายังไม่เคยเจอสักที โดยส่วนตัวนั้น บังเอิญว่าพระที่นอนห้องเดียวกันต้องสึกออกไปก่อน เพราะไม่สามารถทนความเจ็บปวดจากอาการที่เกี่ยวกับกล้ามเนื้ออักเสบได้ จึงทำให้กระผมนั้นต้องนอนคนเดียวประมาณ 20 กว่าวัน แต่ก็ไม่ได้พบเจอหรือรู้สึกว่ามีปรากฏการณ์แปลกๆในห้องนอนตอนกลางคืนเลย...แต่มีอยู่วันหนึ่ง เป็นช่วงกลางวันก็นอนในห้องปกติเหมือนทุกวัน แต่ว่าวันนั้นรู้สึกเหมือนมีเงาอะไรมาบังแสงที่ลอดผ่านใต้ประตู ก็เลยงงว่ามีอะไรมาอยู่หรือกั้นตรงหน้าประตูหรือเปล่า พอมองขึ้นไปที่ช่องตาแมวที่เป็นลักษณะสี่เหลี่ยมผืนผ้าความยาวประมาณ 1 คืบถึงกับผงะ เพราะเจอดวงตา 1 คู่ที่กำลังมองมาในห้อง ณ ตอนนั้นบอกเลยว่า มึน นิ่ง งง มาก ว่าเรากำลังโดนแอบมองอยู่ใช่หรือไม่ ตอนนั้นก็ทำอะไรไม่ถูกไปเลย นอนนิ่งอยู่อย่างนั้นแล้วสายตาคู่นั้นก็จากไป และพอได้สติก็พอจะจำแววตาคู่นั้นได้ว่าคือใครและเป็นใคร เพราะคนคนนั้นชอบเดินไปเดินมาผ่านหน้าห้องทั้งๆที่อยู่คนละมุมกุฏิและชอบมาชวนคุย พยายามเข้ามาใกล้ๆตลอดเลย หลังจากเหตุการณ์นี้ ผมก็มีความรู้สึกที่ว่า อยู่ที่วัดไม่ต้องกังวลหรือกลัวผี แต่ให้กังวลกับอย่างอื่นแทน จึงทำให้คิดคำเตือนใจตัวเองได้ว่า

    "ในหมู่ชายทั้งหลาย ย่อมมีชายเหนือชายเสมอ โปรดระวังประตูของท่านเอาไว้ให้ดี"

          พระอาจารย์บอกเอาไว้ว่าของมีค่าเช่น โทรศัพท์ โน๊ตบุ๊ค เงินทอง และของสำคัญต่างๆ ไม่ควรนำติดตัวมาด้วย เพราะว่าที่วัดเคยมีคนไม่หวังดีเข้ามาลักขโมยของที่วัด ซึ่งส่วนที่อยู่ของพระใหม่เป็นที่ใกล้ทางเข้าออกวัด คนนอกสามารถเดินเข้าออกได้อย่างสะดวก เราไม่อาจรู้ได้เลยว่า คนๆนั้นจะเป็นผู้ที่หวังดีหรือไม่ดี จึงอาจจะทำให้เสี่ยงต่อการโดนขโมยของได้ เพราะฉะนั้น ถึงเราจะอยู่ในเขตของวัด แต่ว่าเราก็อยู่ร่วมกันกับผู้คนอื่นอีกมากมายเช่นกัน


ความรู้สึกหลังจากการบวช

          สิ่งแรกที่ได้เห็นตั้งแต่วันแรกที่บวชเลยคือพ่อแม่ญาติพี่น้องของคนที่มาบวชนั้นล้วนยินดีมีรอยยิ้มแห่งความสุขที่ได้เห็นลูกหลานของตนบวช อย่างต่อมาก็คือ ช่วงเวลาที่ไปเดินบิณฑบาต จะได้พบผู้คนที่รอคอยพระเพื่อที่จะได้ใส่บาตร แล้วพอผู้คนเหล่านั้นเห็นพระมาก็จะมีสีหน้ายิ้มแย้มมีความสุขที่ได้เจอพระและได้ใส่บาตรพระในยามเช้าของแต่ละวัน ซึ่งเหล่าผู้คนที่รอคอยนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นคนสูงอายุถึงขั้นวัยชราและในบางครั้งก็มีเด็กมาใส่บาตรด้วยก่อนไปโรงเรียน...พอกลับมาที่วัดก็จะเจอผู้คนที่มารอคอยพระเพื่อที่จะใส่บาตรอีกเช่นกัน โดยมีความสงบและรอยยิ้ม ณ ยามเช้าที่เป็นดั่งจุดเริ่มต้นของวันใหม่ ก่อนที่จะไปเจอสังคมเร่งรีบ การแข่งขัน แก่งแย่ง รถติด หงุดหงิดและวุ่นวาย ในชีวิตประจำวันของแต่ละคน

          การบวชในระยะเวลา 1 เดือนโดยที่ไม่ติดตามข่าวสาร และไม่ได้เล่นมือถือหรือเล่นคอมพ์เลยนั้น ถือเป็นช่วงชีวิตที่น่าจะลองสัมผัสกันเองสักครั้งหนึ่ง ทั้งยังมีข้อคิดจากประสบการณ์ความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายออกมาได้หมด ถ้าใครอยากจะลองสัมผัสด้วยตัวเองก็ต้องลองบวชดูนะครับ อิอิ

          พระอาจารย์กล่าวเอาไว้ว่าการที่เราจะประพฤติตนให้อยู่ในศีลธรรม ทำความดี ทำใจให้สงบได้นั้น ไม่จำเป็นว่าต้องมาบวชเป็นพระอย่างเดียว แต่เราสามารถที่จะทำตนให้อยู่ในศีลธรรม ทำความดี ทำใจให้สงบ ทำสมาธิ พิจารณาตนเอง ที่บ้านก็ยังได้ หรือ จะเข้าวัดช่วงเทศกาลหรือวันหยุดก็ได้

          รุ่นที่กระผมบวชนั้น เป็นช่วงที่วัดได้มีการแต่งตั้งเจ้าอาวาสใหม่พอดี จึงมีการเปลี่ยนแปลงในอะไรหลายๆอย่าง เช่น วิธีการบวช หรือ กิจกรรมที่เพิ่มขึ้นในรุ่นถัดไปด้วย สุดท้ายนี้ กระผมขอขอบพระคุณวัดชลประทานรังสฤษดิ์ สำหรับประสบการณ์ชีวิตอันล้ำค่าที่หาไม่ได้ในห้องเรียนเป็นเวลาถึงหนึ่งเดือนเต็ม หากมีท่านใดที่สนใจ หรือมีข้อสงสัยเรื่องวิธีการบวช รวมถึงเรื่องที่สงสัยเกี่ยวกับการเตรียมตัวสำหรับบวช สามารถติดตามโทรสอบถามทางวัดชลประทานรังสฤษดิ์เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ตามข้อมูลด้านล่างครับ

Website ของวัดชลประทานรังสฤษดิ์ : http://www.watchol.org/

หน้าที่เอาไว้ดาวน์โหลดไฟล์เสียงเป็นบทสวดที่จะใช้สำหรับการสอบท่อง :

ติดต่อทางวัดได้ที่ : http://www.watchol.org/contact

สำนักงานวัดชลประทานรังสฤษฏ์ สอบถามเรื่องทั่วๆไป และกิจนิมนต์
โทรศัพท์: 02-583-8845  , แฟกซ์: 02-583-6457

กุฏิสี่เหลี่ยม ที่อยู่พระของพระนวกะ (พระภิกษุบวชใหม่)
โทรศัพท์: 02-583-8733


บทส่งท้าย

          หากใครยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะบวชหรือไม่บวชดี ผมก็แนะนำให้บวชตามที่ได้กล่าวมาแล้ว เพราะท่านที่ตัดสินใจบวชจะได้รับประสบการณ์ที่หาไม่ได้ในชีวิตปกติประจำวัน(ขึ้นอยู่กับว่าบวชที่วัดไหนอีกเช่นกัน) อาจจะเป็นที่พักใจ หาความสงบจาก สิ่งรอบตัวที่วุ่นวาย หรือ เป็นเรื่องสนุก แปลกใหม่ ได้ทำเรื่องที่ไม่เคยทำและสำหรับคนที่กำลังกังวลว่าบวชนั้นยาก ไม่สบาย ลำบาก ก็อยากจะให้ลองดูสักครั้งอาจจะติดใจก็เป็นได้ อิอิอิอิ >_<d

ปล. รูปท่านั่งของแมวประจำกุฏิ (มิได้ท้องแต่อย่างใด) พระนวกะเลี้ยงดูกันเป็นอย่างดีนั่นเอง คริคริ




**********************************

          ถ้าใครได้เฉียดหรือหลงเข้ามาอ่านแล้วรู้สึกว่าได้อะไรกลับไปบ้าง ไม่ว่าจะความสนุก ความแปลกใจ หรือความรู้...ถ้าได้กลับไปสักนิด ผู้เขียนก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งแล้วครับผม

ผมยังคงเป็นมือใหม่ในการเขียนบล็อกอยู่ ขอฝากเนื้อฝากตัวและขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาชมบล็อกนี้ ถ้าหากมีข้อผิดพลาดอะไรตรงไหนก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ แล้วจะเป็นความกรุณาอย่างมาก ถ้าผู้อ่านจะช่วยชี้แจงเพิ่มเติมครับ

          ถ้าหากมีผู้สนใจที่จะแชร์หรือแบ่งปันข้อมูลเนื้อหาไม่ว่าทางใดก็สามารถนำไปได้ พร้อมให้เครดิตชื่อบล็อกนี้สักเล็กด้วยนะครับ ขอบคุณคร้าบบบบ



หมายเหตุ : เรื่องราวข้างต้น เป็นการเขียนเรื่องที่ประสบพบเจอโดยตัวเจ้าของบล็อกเอง การเขียนเรื่องราวเหล่านี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อทางธุรกิจแต่อย่างใด และมิได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับใคร ทั้งความรู้สึก ความนึกคิด และความเห็นนั้น เป็นสิ่งที่ได้รับในช่วงระยะเวลานั้นๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่แต่คนละมีความรู้สึกนึกคิดต่างกัน อยากให้ท่านผู้อ่านใช้วิจารณญานในการอ่านและการตัดสินใจ จึงเรียนมาเพื่อทราบ ขอบคุณคร้าบบบบ

                                   ***********************************